KTBST เปิดโผหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลเชิงบวก และได้รับผลเสีย หลังราคาน้ำมันดิบโลกเช้านี้ ( 9 มี.ค.) พุ่งทะยานแตะระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงสุดนับแต่ปี 51 แนะนำให้เทรดหุ้นที่ยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากนัก เชียร์หุ้นเด่น SPRC PRM BTS

เกาะติดสงครามรัสเซีย-ยูเครน อัพเดทล่าสุดหลังสหรัฐอเมริกา (US) และ สหราชอาณาจักร (UK) วางแผนที่จะห้ามการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย โดยปราศจากความร่วมมือจากพันธมิตรอื่นในยุโรป โดยการห้ามการนำเข้าของ US จะรวมถึง น้ำมันดิบ LNG และถ่านหิน

 

ทั้งนี้ US มีการนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากรัสเซียคิดเป็น 8% (2021) และ UK 8% (2020) ในขณะเดียวกัน UK จะทยอยการห้ามนำเข้าในหลายเดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี การห้ามนำเข้านี้จะไม่รวมถึง ก๊าซฯ ขณะที่เยอรมันได้ประกาศว่าจะยังนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะประกาศหยุดการรับรองโครงการก๊าซฯ Nord Stream 2

 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (KTBST) ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบ Brent วานนี้ปิดที่ USD128/bbl +3.9% ขณะที่เช้านี้ ( 9 มี.ค.65 ) ยังปรับตัวขึ้นต่อแตะระดับ USD130/bbl แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เห็นตั้งแต่ปี 2008 แนะนำให้เทรดหุ้นที่ยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมากนัก

โดยประเมินว่าหุ้นที่จะ outperform มากสุด ได้แก่

 

SPRC (ซื้อ/เป้า 11.50 บาท) ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากกำไรจากสต๊อกน้ำมัน
PRM (ถือ/เป้า 6.30 บาท) จากความต้องการใช้เรือ FSU ในการเก็บน้ำมันเพิ่มขึ้น
BTS (ถือ/เป้า 10.50 บาท) จากการใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนหุ้นที่จะ underperform ได้แก่

 

AAV (ถือ/เป้า 2.80 บาท) KEX (ขาย/เป้า 18.00 บาท) จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และ PTG (ถือ/เป้า 15.20 บาท)

ฝ่ายวิจัย KTBST ได้ประเมินหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงบวกและลบจากราคาน้ำมันดิบที่สูง ดังนี้

 

 

เซ็กเตอร์และหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเชิง “บวก”

 

1) Energy: โดย PTTEP จากราคาขายที่เพิ่มขึ้น TOP, SPRC, PTTGC, IVL จากกำไรจากสต๊อก
2) Oil tanker: PRM ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากค่าระวางเรือขนส่งน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้เรือ FSU ในการเก็บน้ำมันสูงขึ้นตาม อย่างไรก็ตาม จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
3) Ground Transportation: BTS และ BEM ได้ประโยชน์ทางอ้อมจากโอกาสการใช้ขนส่งสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น
เซ็กเตอร์และหุ้น ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบ

 

1) Airline: AAV, BA จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจคิดเป็นประมาณ 20-30% จากรายได้รวม
2) Logistics: KEX ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น
3) Power: BGRIM, GPSC, GULF ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าบางส่วนที่ pass through ไม่ได้กดดัน PTG มาตรการรัฐควบคุมราคาน้ำมันในระดับสูงกดดันค่าการตลาด
4) Construction Services: CK, STEC, RT, PYLON, SEAFCO จากต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้นเนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงคิดเป็นราว 8% ของต้นทุนรวม
5) Automotive: SAT, AH จากความกังวลต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะกระทบการตัดสินใจซื้อรถยนต์ได้
6) อื่นๆ: EPG ต้นทุนวัตถุดิบหลัก (PP, PET, HDPE) อาจได้รับผลกระทบจากราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าแล้ว 3-6 เดือน

ที่มา : KTBST

อ้างอิง
https://www.thansettakij.com/category/money_market